A Taxi Driver Netflix บอกเรื่องจริงให้ออกมาเป็นเรื่องเล่าที่แสนสนุกจนต้องคารวะทำให้ทั้งเห็นใจ รับทราบ และเข้าใจในความเป็นมนุษย์

Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin

บอกเรื่องจริงให้ออกมาเป็นเรื่องเล่าที่แสนสนุกจนต้องคารวะทำให้ทั้งเห็นใจ รับทราบ และเข้าใจในความเป็นมนุษย์

A Taxi Driver Netflix ในแต่ละชนชาติจะมีรากเหง้าที่ถูกบันทึกผ่านเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีทั้งสวยงามและที่เจ็บปวด แต่เมื่อเป็นประวัติศาสตร์ของชาติสิ่งที่ต้องรำลึกเสมอคือกว่าจะเป็นอย่างทุกวันนี้ชาติได้ผ่านอะไรมาบ้างและแม้บางอย่างก็อาจไม่คู่ควรให้จดจำแต่ก็ไม่สมควรถูกลืมเลือน เพราะมันคือสิ่งย้ำเตือนให้คนรุ่นต่อๆมาได้คิดและระลึกถึงสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้ต่อสู้กันมา ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปประวัติศาสตร์ในบางหน้าอาจไม่ได้รับความสนใจจากความเปลี่ยนแปลงไปของโลกและพฤติกรรมของมนุษย์ในการเสพสื่อ วงการบันเทิงจึงมีหน้าที่ที่จะกระตุ้นเตือนคนรุ่นหลังด้วยการฉายภาพของประวัติศาสตร์นั้นให้ออกมาเป็นหนังหรือละครเพราะหนังและละครคือสื่อที่เข้าถึงง่าย กระนั้นการเล่าเรื่องจริงบางครั้งก็ยากเพราะเจ็บปวดเกินไปการปรับแต่งเติมให้เป็นความบันเทิงบนเรื่องจริงจึงต้องมาเหมือนกับหนังเรื่อง 1987: When The Day Comes (2017) ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตรของชนชาติเกาหลีกับโศกนาฏกรรมที่ควังจูออกมาได้ขึงขัง กับเรื่องนี้ที่เล่าเรื่องเดียวกันในอีกมุมแต่เลือกลงลึกในความเป็นมนุษย์ที่เจาะจงกว่าแต่เล่าได้อย่างต้องคารวะไม่ตางกัน

เรื่องย่อ A Taxi Driver Netflix

A Taxi Driver Netflix คุณคิม (ซงคังโฮ) คนขับแท็กซี่ในกรุงโซลที่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวและมีปัญหาทางการเงิน วันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีลูกค้าชาวต่างชาติว่าจ้างให้แท็กซี่อีกคันไปส่งที่เมืองควังจูด้วยค่าจ้างแสนงาม เขาจึงฉวยโอกาสไปรับลูกค้าคนนั้นแทนด้วยความเจ้าเล่ห์และลูกค้าคนนั้นคือปีเตอร์ (โธมัส เครทส์แมนน์) นักข่าวจากเยอรมันที่ปกติประจำอยู่ในกรุงโตเกียว และการที่ปีเตอร์มาเกาหลีโดยการปกปิดตัวตนว่าเป็นมิชชันนารีสอนศาสนาก็เพราะเขาทราบว่ามีการประกาศกฎอัยการศึกที่เมืองควังจูและปิดข่าวไม่ให้โลกได้รับรู้ เมื่อปีเตอร์คือนักข่าวเขาก็ต้องไปอยู่ในที่ที่มีข่าวและนั่นก็คล้ายกับเป็นโชคชะตาที่ทำให้เขามาเจอกับคุณคิมคนขับแท็กซี่หน้าเงินเห็นแก่ตัวแถมทักษะภาษาอังกฤษยังอยู่ในระดับงูๆปลาๆ ทว่าปีเตอร์คงไปไม่ถึงควังจูถ้าคนขับแท็กซี่ไม่ใช่คุณคิมที่หิวเงินและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินด้วยการต้องไปส่งผู้โดยสารให้ถึงแล้วรับเงินกลับบ้านมาหาลูกสาวที่รอเขาอยู่เพียงลำพัง

แต่เมื่อคนทั้งสองมาถึงเมืองควังจูที่สภาพเมืองกลายเป็นแดนมิคสัญญีและได้พบกับแจซิก (รยูจุนยอล) นักศึกษาที่ออกไปประท้วงในเมืองที่คนเป็นมิตรอย่างควังจู กระนั้นคุณคิมก็พยายามกลับกรุงโซลด้วยการชิ่งกลับไปแต่ก็ไปไม่ได้เมื่อรถของเขาเสียและได้รับน้ำใจจากแทซุล (ยูแฮจิน) และภรรยา (อีจองอึน) เมื่อกลับไม่ได้และตกกระไดพลอยโจนคุณคิมจึงได้เจอกับภาพที่เจ็บปวดในสิ่งที่มนุษย์ทำกับมนุษย์อย่างไร้ความเป็นมนุษย์เพราะคำว่าหน้าที่ แต่คุณคิมก็มีลูกเล็กๆรออยู่ข้างหลังและทางปีเตอร์ที่ได้ถ่ายวีดีโอเหตุการณ์ที่ถูกปกปิดไว้ได้ก็ไม่ได้รั้งคุณคิมไว้ แต่ระหว่างทางกลับคุณคิมก็ต้องตัดสินใจที่จะทำหน้าที่มนุษย์ที่ต้องทำเรื่องที่ถูกต้องสักครั้งในชีวิตด้วยความยากลำบาก จนเขาตัดสินใจกลับมารับปีเตอร์กลับกรุงโซลเพื่อเปิดเผยเรื่องราวในควังจูให้โลกได้รู้และนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เกาหลีที่แม้กระทั่งปัจจุบันชื่อจริงของเขายังไม่ได้ถูกเปิดเผย

เรื่องจริงของคนตัวเล็กที่กลายเป็นวีรบุรุษนิรนามที่ถูกถ่ายทอดอย่างเข้าถึงและบันเทิงในมุมที่แตกต่าง

อีกครั้งที่ต้องโค้งคำนับให้กับการเล่าเรื่องจริงให้ออกมาเป็นเรื่องเล่าที่แสนสนุกกับอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่เลือกเล่าในมุมที่จำกัดของคนหนึ่งคน จึงทำให้รู้สึกเห็นใจรับทราบ และเข้าใจในความเป็นมนุษย์และการตัดสินใจของคนตัวเล็กที่ทำเรื่องใหญ่ แล้วด้วยความที่นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงและการเล่าเรื่องให้ออกมาบันเทิงได้ขนาดนี้คงต้องยอมรับว่าบทหนังออกมาในระดับยอดเยี่ยม ก็ใช่ที่การเล่าเรื่องจริงผสมเรื่องแต่งแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่และถ้าดูอย่างละเอียดจะมองเห็นว่าอันไหนจริงอันไหนแต่ง แต่ความเยี่ยมของบทคือคนดูจะไม่แน่ใจว่านั่นคือเรื่องแต่งจริงหรือไม่เพราะเชื่อไปแล้วว่านั่นคือเรื่องจริง อีกสิ่งที่เยี่ยมมากคือการเล่าเรื่องในภาวะข้างในที่เป็นปัจเจกที่ต่างจากหนังที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ทั่วไปที่มักจะเล่าเรื่องของคนที่มีชื่อเสียงในหน้าประวัติศาสตร์นั้นๆ แต่เรื่องของคุณคิมที่หนังเผยให้เห็นว่าจนปัจจุบัน (ณ ปีที่หนังออกฉาย) ยังไม่ไม่ใครทราบตัวตนที่แท้จริงของคุณคิม นั่นหมายความว่าตัวละครนี้คือมาจากคำบอกเล่าที่เป็นการทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ตัวเล็กๆสักคนที่ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงใด

กระนั้นหนังก็เล่าในมุมของคุณคิมได้อย่างมีมิติและมองเห็นอารมณ์เชิดชูวีรกรรมอยู่ข้างในซึ่งต้องเป็นเรื่องจริงปนเรื่องแต่งเพื่อความบันเทิงให้ออกมาเป็นภาพยนตร์มากกว่าเป็นสารคดี สิ่งที่เป็นคือหนังมีคุณคิมเป็นเสาหลักเดินเรื่องได้ทรงพลังด้วยมิติของชายผู้เฉยชาต่อเหตุการณ์รอบข้างโนสนโนแคร์ว่าคนรอบข้างหรือโลกจะเป็นยังไงเพราะโลกทั้งใบของคุณคิมมีลูกสาวเพียงคนเดียว กระทั่งโลกแห่งความจริงที่เขาต้องเจอขยับเข้ามาใกล้เขาก็ยังไม่แคร์เพราะนี่ไม่ใช่การต่อสู้ของเขาจนที่สุดภาพที่ได้เห็นก็ได้จุดไฟสำนึกความเป็นมนุษย์ในใจเขาเมื่อเพื่อนร่วมชาติหรืออย่างน้อยก็คือเพื่อนมนุษย์ได้ถูกกระทำ และถูกพรากชีวิตอย่างโหดร้ายโดยสิ่งที่เขาเชื่อมั่นเสมอจนความเป็นมนุษย์ที่มีในตัวเขาก็ทำให้เขาลุกขึ้นมาทำหน้าที่มนุษย์ด้วยการเอาทั้งชีวิตเข้าแลกเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง เช่นกันหากการเด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาวถ้าคุณคิมไม่ตัดสินใจกลับรถไปรับปีเตอร์โลกก็อาจจะไม่ได้เห็นฟุตเตจที่ปีเตอร์ถ่ายไว้และสิ่งนั้นก็อาจลุกลามมากระทบโลกเพียงใบเดียวของเขาคือลูกสาวเพราะโฉมหน้าของประเทศของเขาอาจเปลี่ยนไป

ซึ่งมิติเหล่านี้เข้มข้นอย่างยิ่งด้วยการเลือกถ่ายทอดออกมาในมุมเดียวทำให้เรื่องออกมาไม่ดำมืด ทำให้มีมุมให้มองที่ต่างไปในความเป็นคนอย่างคุณคิมคนที่อาจมีได้ทั่วไปเมื่อการดำรงชีพสำคัญกว่าถ้าเรื่องราวไม่มาถึงตัวเอง มองเห็นมุมของความเป็นพ่อมองเห็นมิตรภาพที่ก่อตัวในแดนมิคสัญญีของหนึ่งคนขับแท็กซี่กับหนึ่งผู้โดยสารและมองเห็นมุมของความเป็นมนุษย์ที่ยังคงมีข้างในทุกคนอยู่ที่ใครจะปลุกมันขึ้นมาได้ด้วยสิ่งไหนที่มากระทบ ซึ่งเมื่อมีมิติที่หลากหลายในคนคนเดียวเลยทำให้มีความบันเทิงที่ดูสว่างเพราะมีบางเวลาให้ได้ยิ้มได้ผ่อนคลายไม่ใช่ดึงอารมณ์ให้จมดิ่งถ่ายเดียว สิ่งที่ต้องชื่นชมอีกอย่างคืออารมณ์หดหู่ที่เป็นของมันต้องมียังคงจัดเต็มไม่ถูกละเลยและมาถูกจังหวะเวลาทำให้อารมณ์ก็ยังคงพาคนดูไปได้ไกลอย่างที่บทต้องการได้ และถึงที่สุดการเป็นวีรบุรุษอาจจะไม่ต้องมีอนุสาวรีย์ใดให้กราบไหว้บูชาแต่มีตัวตนในความทรงจำของผู้คนก็คือสิ่งที่ยิงใหญ่เช่นเดียวกับการทำอะไรบางอย่างของคนขับแท็กซี่ผู้ไม่ทิ้งผู้โดยสารอย่างคุณคิม

คงไม่เกินเลยไปถ้าจะบอกว่านักแสดงพาหนังมาได้ไกลขนาดนี้

เมื่อหนังเล่าถึงวีรกรรมของคนขับแท็กซี่เล่าในมุมของคนขับแท็กซี่ที่เริ่มต้นด้วยความน่ารำคาญน่าหมั่นไส้จนน่ารังเกียจบางเวลาแล้วค่อยๆเปลี่ยนผ่านจากข้างใน กระทั่งการตัดสินใจที่ยากลำบากเหมือนฉากกินก๋วยเตี๋ยวที่ทำให้ขนลุกและน้ำตาซึม หรือกระทั่งฉากร้องให้ในรถก่อนตัดสินใจเลี้ยวกลับก็คือการถ่ายทอดตัวละครที่สมบูรณ์แบบของซงคังโฮที่เขาคือเสาหลักของเรื่องที่พาหนังมาได้ไกลขนาดนี้ถ้านี่คือรถที่ขับมาแล้วหกแสนกิโล เพราะนี่คือการเล่าเรื่องในหน้าประวัติศาสตร์ของคนที่ไม่ทราบตัวตนจริง (นับจากที่ได้ดูในหนัง) ไม่มีนาทีไหนที่ผู้ชมจะกังขาในความเป็นตัวละครและการตัดสินใจทำทั้งถูกและผิดของคุณคิม แม้จะเริ่มด้วยความน่ารำคาญแต่เกลียดไม่ลงเพราะเขาก็ยังมีคนอยู่ข้างหลังเป็นเหตุผลสำคัญให้เข้าใจได้และน่าเห็นใจ ด้วยการแสดงในระดับที่รู้สึกได้ว่าคนคนนี้ก็คือมนุษย์เดินดินทั่วไปที่ยังมีห่วงและห่วงนั้นก็ทำให้เขาไม่สนใจอะไรหากมันไม่มาถึงตัว ซึ่งคนประเภทนี้มีให้เห็นทั่วไปและมันคือการแสดงในระดับที่ต้องคารวะและเป็นคนแบกเรื่องกลายๆของซงคังโฮ

ส่วนอีกคนที่เป็นตัวสนับสนุนมิติของตัวละครคุณคิมได้โดยสมบูรณ์คือตัวละครปีเตอร์ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเชื่อทั้งใจของโธมัส เครทส์แมนน์ที่รับบทเป็นนักข่าวผู้มีอุดมการณ์แรงกล้า เป็นคนที่ได้เห็นและทุ่มทั้งชีวิตเพื่อเอาภาพที่โหดร้ายหดหู่ออกมาสู่สายตาคนทั้งโลกและตัวละครของเขาก็ไม่ต่างจากไม้ขีดไฟที่จุดประกายสำนึกในใจของคุณคิม ส่วนนักแสดงสมทบก็ต้องชื่นชมเพราะมอบการแสดงที่เป็นที่น่าจดจำทั้งรยูจุนยอลและยูแฮจินยอดฝีมืออีกคนของทางเกาหลี ตัวละครของคนทั้งสองคือตัวแทนของคน ควังจูที่ใสซื่อและเปี่ยมน้ำใจและคนทั้งสองก็ไม่ต่างจากฟืนที่ช่วยสุมไฟในใจของคุณคิมให้ลุกโชนได้อย่างลงตัว เช่นเดิมที่งานด้านฉากและองค์ประกอบยังคงเนี้ยบเป็นปี 1980 ช่วงเปลี่ยนผ่านแฟชั่นแห่งยุค 70 มาเป็นยุค 80 ที่ยังมีงานดนตรีตามยุคสมัยเสื้อผ้าหน้าผมที่เป๊ะ การแสดงของตัวละครเล็กน้อยประเภทไม่เห็นหน้าค่าตาก็เนี้ยบหรือฉากการถูกล้อมปราบที่เล่าเรื่องด้วยภาพได้อย่างขึงขังแข็งแรง ซึ่งก็คือความเนี้ยบในทุกอณูที่หนังสักเรื่องจะมอบให้ได้ในเวลาสองชั่วโมงที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช่นเดิมที่หนังที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายแบบนี้สิ่งที่เห็นและตอกย้ำคือเรื่องของ “อิสระ” และ “เสรีภาพ” ในการรังสรรค์งาน

โดยเฉพาะงานที่จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของบางองค์กรที่ใหญ่ระดับประเทศที่แม้จะกระทบโดยตรงแต่หนังก็มีอิสระที่จะเล่าออกมาด้วยภาพที่สมจริงปานอยู่ในเหตุการณ์นั้น มันคืออิสระที่พึงมีในการสร้างสรรค์งานให้ออกมาสมจริงและเป็นมนุษย์เป็นเหตุการณ์จริงที่ไม่เหมือนเรื่องแต่งแม้จะถูกแต่ง เป็นการทำหนังที่สร้างจากเรื่องจริงที่เจ็บปวดให้ออกมาเป็นความบันเทิงแต่ความบันเทิงนั้นก็ไม่ได้ละเลยสิ่งที่ต้องมีคืออารมณ์ร่วมความรู้สึกเจ็บปวดและหดหู่กับภาพที่เห็น หนังเรื่องนี้แม้จะเล่าในกรอบที่แคบลงด้วยการเล่าเรื่องของคนหนึ่งคนแต่ก็ไม่ละเลยภาพใหญ่คือความเจ็บปวดที่คนในชาติได้รับและได้เห็นเพราะนี่คือหน้าประวัติศาสตร์ที่ต้องไม่ถูกลืม ผู้เขียนไม่ทราบหรอกว่าในตำราเรียนบ้านเขามีเรื่องเหล่านี้หรือไม่แต่การทำออกมาเป็นหนังเพื่อเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่บางคนอาจเกิดไม่ทันได้เห็นหรือสัมผัสได้อย่างแผ่วผิวได้ถูกเล่าออกมาได้อย่างแข็งแรง

แต่ก็ยังมีหน้าฉากความสนุกความน่าติดตามและมิติทางอารมณ์ที่หลากหลายทำให้เหตุการณ์ที่เป็นรอยด่างพร้อยของชนชาติเขาจะไม่มีวันถูกลืม และอิสระในการเล่าเรื่องก็ทำให้ประวัติศาสตร์ได้ถูกชำระได้ถูกบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา แน่นอนในโลกยุคปัจจุบันที่ไม่มีอะไรที่ค้นข้อมูลไม่ได้นั้นก็มีส่วนเพราะโลกปัจจุบันไม่มีอะไรที่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป เช่นกัน ในส่วนความบันเทิงที่ที่หนังมอบให้นั้นแม้จะเต็มไปด้วยความหดหู่หรือน้ำตาไหลด้วยความเจ็บแค้นแต่อย่างน้อยภาพที่เห็นก็อาจปลุกอะไรบางอย่างในใจได้ว่า บางทีการตัดสินใจของคนธรรมดาก็อาจกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เช่นคนขับแท็กซี่ชื่อคุณคิม ชายผู้ไม่ยอมบอกชื่อจริงชายที่ไม่เสนอหน้าออกมารับความดีความชอบในฐานะวีรบุรุษของชาติชายผู้ไม่ออกมาหาแสง และมันทำให้คุณคิมคืออีกคนที่ยิ่งใหญ่ที่คงจะอยู่ในใจของคนเกาหลีไปอีกนานแสนนานแม้ว่าเขาจะเป็นคนขับแท็กซี่ธรรมดาที่รักลูกมากคนหนึ่งเท่านั้น เพราะนี่คือการเล่าเรื่องของอีกคนตัวเล็กผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างถึงฟอร์ม A Taxi Driver Netflix

บทความที่น่าสนใจ